ความจำเป็นในการจำแนกประเภทของความเสี่ยง
เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าเรียบร้อยแล้ว กิจการจะทำการกำหนดวงเงินและเงื่อนไขของสินเชื่อให้กับลูกค้า การกำหนดวงเงินและเงื่อนไขของสินเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงระดับความเชื่อมั่นและความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงในสินเชื่อ สำหรับวงเงินสินเชื่อจะพิจารณาถึงเทอมในการชำระเงิน ซึ่งอาจจะมีการขยายวงเงินได้ตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งอาจจะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างการกำหนดวงเงินและการกำหนดเงื่อนไขของสินเชื่อได้ ดังนั้น การจำแนกประเภทของความเสี่ยงในสินเชื่อ จึงเป็นวิธีการที่ดีเพื่อให้สามารถกำหนดประเภทของลูกค้าได้
ความจำเป็นในการประเมินค่าความเสี่ยง
การตัดสินใจว่ากิจการมีการจัดการสินเชื่อดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการควบคุมสินเชื่อว่าสามารถเก็บเงินจากลูกหนี้ที่ค้างชำระได้นาน หรือการหลีกเลี่ยงหนี้สูญได้ แต่ต้องคำนึงถึงว่า
กิจการสามารถบรรลุผลตอบแทนจากการค้า ซึ่งก็คือ “กำไร (Profit)” สูงสุดด้วย ในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันรุนแรงในขณะนี้กิจการไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า ลูกค้าที่กิจการมีอยู่นั้น จะเป็นลูกค้าที่ดี (Safe Customer) ดังนั้นจึงเป็นบทบาทที่สำคัญของผู้จัดการสินเชื่อ (Credit Manager) ที่จะต้องมีการจำแนกประเภทของลูกค้าโดยพิจารณาถึงความเสี่ยงทางการเงินและผลขาดทุนในระดับที่กิจการยอมรับได้
การประเมินความเสี่ยงเป็นพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็นในการกำหนดเทคนิคการเก็บเงินจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ที่ขาดความรู้อย่างเพียงพอเกี่ยวกับความเสี่ยงในสินเชื่อก็ไม่สามารถติดต่อกับลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ทางการค้ามาเป็นเวลานานก็ตาม
นอกจากนี้ ก่อนที่จะเริ่มการค้าขาย กิจการควรที่จะมีการประเมินค่าความเสี่ยง เพื่อป้องกันปัญหาของการเก็บหนี้ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
บุคคลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประเมินค่าความเสี่ยง
โดยทั่วไปแล้ว ส่วนใหญ่องค์กรฯ มักจะมอบหมายให้การประเมินค่าความเสี่ยงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายขายหรือไม่ก็ฝ่ายการตลาด ในขณะที่หน้าที่ทางด้านสินเชื่อก็จะถูกกำหนดให้เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายบัญชีไม่ว่าจะเป็นการเก็บหนี้ (Collection) หรือการหลีกเลี่ยงหนี้สูญ (Bad Debt)
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวแทนฝ่ายขายหรือแม้กระทั่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดไม่เหมาะสมที่จะรับหน้าที่ในการตรวจสอบด้านการเงิน เนื่องจากการประเมินผลงานของฝ่ายขายจะถูกวัดผลที่ปริมาณของธุรกิจที่เป็นลูกค้าโดยไม่มีการคำนึงถึงการเก็บเงิน ดังนั้น ความรับผิดชอบในการประเมินค่าความเสี่ยงจึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหนี้หรือการพิจารณาความเป็นไปได้ที่ลูกค้าจะล้มละลายซึ่งจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถเก็บหนี้ได้ ความรับผิดชอบดังกล่าวนี้ควรจะเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน (เป็นไปในแนวทางเดียวกัน) แต่ต้องคำนึงถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างฝ่ายขายและฝ่ายสินเชื่อ โดยส่วนใหญ่แล้วฝ่ายสินเชื่อมักจะประเมินความเสี่ยงของลูกค้าสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย (above Average Risk) ดังนั้น ฝ่ายสินเชื่อจะต้องเตรียมการและวางแผนร่วมกับฝ่ายการตลาด เพื่อตัดสินใจว่า ความต้องการของลูกค้าในลักษณะอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงทางการเงิน โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานในการประเมินความเสี่ยง เช่น การวิเคราะห์ราคา (Price) การวิเคราะห์กำไร (Profit Margin) ความเหมาะสมของสินค้า (Product Availability) หรือแม้กระทั่งการแข่งขัน (Competition) การตัดสินใจและการประเมินความเสี่ยงจะเป็นส่วนสำคัญในการสะท้อนให้เห็นการตัดสินใจโดยรวมของธุรกิจที่พยายามประสานกันระหว่างฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต ฝ่ายสินเชื่อ หรือฝ่ายต่างๆ ในองค์กร เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกิจการก็คือ การเพิ่มกำไรตามเป้าหมาย
ความเสี่ยงในสินเชื่อ เป็นความไม่แน่นอนที่เกิดจากการขาดความเต็มใจ หรือขาดความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ซึ่งสาเหตุทั้ง 2 ประการนี้ จะมีความสำคัญและเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ใช้ในการตัดสินใจระดับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ในการประเมินค่าความเสี่ยงในสินเชื่อ จะพิจารณาถึงปัจจัยสำคัญๆ ที่มีผลต่อความเต็มใจและความสามารถในการชำระหนี้ดังนี้ คือ
1. ปัจจัยทางด้าน 6 C’s
2. นโยบายของธุรกิจ
3. ทัศนคติของผู้มีอำนาจอนุมัติสินเชื่อ
4. ประเภทของความเสี่ยง
1. ปัจจัยทางด้าน 6 C’s จะกล่าวถึง 3 C แรกที่เกี่ยวข้องกับการประเมินค่าความเสี่ยง
- Character เป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้ขอสินเชื่อ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงความตั้งใจในการชำระหนี้
ในกรณีบุคคลธรรมดา จะพิจารณาในเรื่องความรับผิดชอบ ลักษณะหน้าที่งาน ความซื่อสัตย์สุจริต โดยอาศัยข้อมูลจากประวัติการชำระหนี้ สถานภาพทางสังคม สถานภาพการสมรส ความมั่นคงของหน้าที่การงาน
ในกรณีนิติบุคคล จะพิจารณาในเรื่องอุปนิสัยของฝ่ายบริหาร ประวัติการชำระหนี้ นโยบายและวิธีการชำระหนี้
- Capacity เป็นความสามารถของผู้ขอสินเชื่อในการหารายได้มาเพื่อใช้จ่ายและเพื่อการชำระหนี้ จะพิจารณาจากรายได้หลัก ความสามารถในการหารายได้ในอนาคต ภาระหนี้สินที่มีอยู่ แบบแผนของการใช้จ่าย สุขภาพ
- Capital เป็นความมั่นคงทางการเงิน เป็นเสมือนเครื่องมือในการสร้างความอุ่นใจให้กับเจ้าหนี้ว่าถ้าหากไม่สามารถชำระหนี้ได้อันจะเป็นผลจากปัจจัยใดๆ ก็ตาม ผู้ให้สินเชื่อจะมีเงินทุนจำนวนนี้ของผู้ขอสินเชื่อเป็นเครื่องรองรับความเสี่ยงได้
2. นโยบายในการดำเนินธุรกิจ
การตัดสินใจดำเนินธุรกิจจะคำนึงถึงกำไรของกิจการรวมถึงสภาพการดำเนินงานของกิจการควบคู่กัน กิจการที่มีนโยบายเพิ่มยอดขายให้ได้รับกำไรมาก อาจยินดีจะรับความเสี่ยงได้มากกว่ากิจการที่มีนโยบายความระมัดระวัง
3. ทัศนคติหรือความคิดเห็นของผู้บริหารสินเชื่อ
ผู้บริหารสินเชื่อแต่ละรายให้ความสำคัญกับปัจจัยแต่ละตัวไม่เท่ากัน บางรายอาจพิจารณาฐานะการเงินเป็นสำคัญ บางรายอาจพิจารณาความเป็นไปได้และวิสัยทัศน์ในการดำเนินโครงการใหม่ก็ได้ ซึ่งจะส่งผลให้การประเมินค่าความเสี่ยงแตกต่างกัน
4. ประเภทของความเสี่ยง
ความเสี่ยงในสินเชื่อสามารถจัดออกได้เป็นหลายประเภท เช่น ความเสี่ยงทางการเงิน จะพิจารณาเงินทุนของผู้ขอสินเชื่อ (Capital) ความเสี่ยงทางธุรกิจจะพิจารณาความสามารถในการทำกำไรของกิจการ (Capacity) ความเสี่ยงทางศีลธรรม จะพิจารณาจากความรับผิดชอบในการเต็มใจชำระสินเชื่อ (Character)
วิธีการประเมินค่าความเสี่ยงในสินเชื่อ
เราสามารถแยกวิธีการประเมินความเสี่ยงในสินเชื่อออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1. สมการสินเชื่อ – ทางด้านเชิงคุณภาพ 6 C’s
- ทางด้านตัวเลข (ให้คะแนนสำหรับแต่ละปัจจัย)
2. ความมั่นคงทางการเงินและการประเมินองค์ประกอบในสินเชื่อ
1. สมการสินเชื่อ
1.1 ระดับความสำคัญของ 6 C’s ในการพิจารณาความเสี่ยงทางสินเชื่อ
ในการวัดระดับความเสี่ยงทางสินเชื่อ เราต้องนำปัจจัยทั้ง 6 เข้ามาร่วมพิจารณา ซึ่งในการนี้ต้องกำหนดค่าความสำคัญของแต่ละ C ก่อนว่า จะมีน้ำหนักเหมือนหรือต่างกันมากน้อยเพียงใด C ตัวใดจะมีความสำคัญมากกว่า ก็ต่อเมื่อ C นั้นมีผลกระทบต่อความสามารถและความตั้งใจในการชำระหนี้สูงกว่า
การที่กิจการหนึ่งขาดความสามารถในการชำระหนี้ มิได้หมายความว่า กิจการนั้นไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย เพียงแต่กิจการนั้นบกพร่องในความสามารถด้านนี้เท่านั้น ความบกพร่องเช่นว่านี้อาจเกิดกับ C ต่างๆ ได้ โดยมีน้ำหนักมากน้อยต่างกันไป
การจัดลำดับความสำคัญของ C ต่างๆ นั้น ต้องเข้าใจก่อนว่า แต่ละ C มีผลกระทบกระเทือนต่อการให้สินเชื่อและการเรียกเก็บหนี้เพียงใด ซึ่งได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าการอนุมัติสินเชื่อทั้งในการขายเชือหรือให้กู้ยืมเงิน กระทำการโดยคาดคะเนว่าจะได้รับชำระหนี้ตามเงื่อนไขสินเชื่อที่ตกลงไว้ โดยผู้ให้สินเชื่อไม่มุ่งหวังที่จะรับสินค้าที่ขายเชื่อไปแล้วกลับคืนมา หรือก็ไม่มุ่งหวังที่จะยึดสินทรัพย์ที่ค้ำประกันสินเชื่อนี้โดยตรง ดังนั้นเงินทุนหรือหลักประกัน จึงมิใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการอนุมัติสินเชื่อโดยทั่วไป จึงเห็นได้ว่า ความสามารถในการชำระหนี้ (capacity) มีความสำคัญกว่าเงินทุน (capital) และหลักประกัน (collateral)
ความสำคัญระหว่าง คุณสมบัติของลูกค้า (character) และความสามารถในการชำระหนี้ (capacity) C ใดจะมีความสำคัญกว่ากัน ในบางครั้งก็ก้ำกึ่งกัน ตัวอย่างเช่น ลูกค้า 2 คน
- ลูกค้ารายแรกมีความซื่อสัตย์ดี แต่บกพร่องในความสามารถที่จะชำระหนี้
- ลูกค้ารายที่สอง ขาดความซื่อสัตย์ แต่มีลู่ทางที่จะจ่ายชำระหนี้ได้ถ้าจะทำ
ผู้มีอำนาจอนุมัติสินเชื่อบางราย อาจจะเห็นว่าลูกค้ารายที่สองดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าเขาจะมีเงิน จ่ายชำระได้ แต่ก็ไม่ยอมจ่ายให้นั้น ผู้ให้สินเชื่ออาจให้ทนายความเป็นผู้ทวงถามโดยอาศัยอำนาจกฎหมายบังคับ ก็ย่อมมีโอกาสได้รับชำระหนี้มา แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยควรจะพิจารณาถึงความสำคัญของ capital ร่วมด้วยจึงจะได้ผลดียิ่งขึ้น หรืออาจจะเห็นว่าลูกค้ารายแรกนั้น แม้ว่าจะเป็นคนดี แต่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ จะทำอย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เว้นเสียแต่จะยืดระยะเวลาการชำระหนี้เพื่อให้โอกาสแก่เขาในการหาเงินมาชำระหนี้ในอนาคต ดังนั้น C ใดมีความสำคัญมากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของผู้บริหารสินเชื่อ ตลอดจนเงื่อนไขประกอบอื่นๆ ด้วย
ถึงแม้ว่า คุณสมบัติของลูกค้าจะเป็นปัจจัยที่จะพิจารณาได้ยากก็ตาม แต่ก็มีความสำคัญมากที่สุดในการพิจารณาความเสี่ยงทางสินเชื่อ ซึ่งไม่เป็นการยากเกินไปที่จะสืบเสาะแยกว่าลูกค้าคนใดซื่อตรงหรือไม่ เป็นคนมัธยัสถ์ หรือสุรุ่ยสุร่าย ชอบดื่มสุรา เล่นการพนัน มีศีลธรรมหรือปราศจากศีลธรรม ในความเป็นจริง capacity และ capital อาจมีความหมายน้อยมากเมื่อลูกค้ามีเจตนาจะคดโกงหรือไม่รับผิดชอบ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็อาจไม่อนุมัติสินเชื่อให้ เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับคดีทางกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ต้องมารับภาระในค่าใช้จ่ายนี้สูง อีกทั้งมีโอกาสที่หนี้จะสูญด้วย
อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้โต้แย้งว่า ความสามารถในการชำระหนี้ควรเป็นปัจจัยที่สำคัญ ทั้งนี้เพราะ จากการวิจัยธุรกิจที่ให้สินเชื่อโดยการผ่อนชำระ สรุปได้ว่า อาชีพและความมั่นคงในรายได้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด อันจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความสามารถในการหารายได้ของลูกค้า และข้อสรุปนี้ก็ยังนำมาใช้ได้กับการอนุมัติสินเชื่อแบบเปิดบัญชีของลูกค้า ส่วนปัจจัยอันดับรองลงมาก็คือ ประวัติการชำระหนี้เท่าที่ผ่านมาของลูกค้า ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นได้ว่า ในบางกรณีถึงแม้ว่าความสามารถในการชำระหนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด คุณสมบัติของลูกค้าก็ยังมีความสำคัญทัดเทียมกันอีกด้วย
ส่วน condition นั้น หากมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีผลต่อลักษณะการใช้จ่ายและการหารายได้ของลูกค้าได้เช่นกัน แต่โดยลำพังของตัวมันเองความสำคัญที่จะมีต่อการชำระหนี้นั้นมีน้อยกว่าความสามารถในการชำระหนี้ หรือคุณสมบัติของลูกค้า
ในกรณีที่การให้สินเชื่อ เกิดขึ้นภายในประเทศ ก็ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึง country ก็ได้ แต่ถ้าเป็นการให้สินเชื่อระหว่างประเทศก็จำเป็นต้องศึกษาถึง country ด้วย
สมการสินเชื่อสำหรับระดับความเสี่ยงต่างๆ กัน
จากความสำคัญของ C ต่างๆ ที่มีต่างกัน เราอาจพิจารณาจาก 3 C’s แรก (Character, Capacity และ Capital) ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อการพิจารณาความเสี่ยง ดังสมการสินเชื่อดังนี้ คือ
สมการสินเชื่อ = character + capacity + capital
เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ ก็อาจจะต้องกำหนด สมการมาตรฐานขั้นต่ำที่ต้องการ (cut-off point) ไว้ เพื่อจะได้เปรียบเทียบกับสมการที่เกิดขึ้นจริงว่าควรจะให้สินเชื่อได้หรือไม่ โดยการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะให้สินเชื่อหรือไม่นั้นจะต้องมีการพินิจพิเคราะห์จากดุลยพินิจอีกครั้งร่วมด้วยดังแสดงออกมาเป็นสมการสินเชื่อได้ 10 ลักษณะ ดังนี้ คือ
ตารางแสดงการพิจารณาความเสี่ยงจากสมการสินเชื่อ
การจัดระดับความเสี่ยงในสินเชื่อ
โดยใช้สมการสินเชื่อ
ความเสี่ยงในสินเชื่อ |
ปัจจัยที่มีต่อความเสี่ยงในสินเชื่อ |
||
CHARACTER |
CAPACITY |
CAPITAL |
|
1. ดีมาก |
***** |
***** |
***** |
2. ใช้ได้ |
***** |
***** |
ไม่พอ |
3. ใช้ได้ |
***** |
ไม่พอ |
***** |
4. น่าสงสัย |
ไม่พอ |
***** |
***** |
5. มีข้อจำกัด |
***** |
***** |
---- |
6. อันตราย |
---- |
***** |
***** |
7. ค่อนข้างไม่ดี |
***** |
---- |
***** |
8. ไม่ดีเห็นชัด |
---- |
---- |
***** |
9. ค่อนข้างไม่ดี |
***** |
---- |
---- |
10. ไม่น่าไว้ใจ |
---- |
***** |
---- |
1. + CHARACTER + CAPACITY + CAPITAL = GOOD Credit Risk
2. + CHARACTER + CAPACITY + CAPITAL (ไม่พอ) = FAIR Credit Risk
3. + CHARACTER + CAPACITY (ไม่พอ) + CAPITAL = FAIR Credit Risk
4. + CHARACTER (ไม่พอ) + CAPACITY + CAPITAL = Doubtful Credit Risk
5. + CHARACTER + CAPACITY – CAPITAL = Limited Success Credit Risk
6. - CHARACTER + CAPACITY + CAPITAL = Dangerous Credit Risk
7. + CHARACTER – CAPACITY + CAPITAL = Inferior Credit Risk
8. – CHARACTER – CAPACITY + CAPITAL = Inferior Credit Risk
9. + CHARACTER – CAPACITY – CAPITAL = Distinctly Poor Credit Risk
10. – CHARACTER + CAPACITY – CAPITAL = Fraudulent Credit Risk
1.2 วิธีการวัดระดับความเสี่ยงทางสินเชื่อโดยคะแนนจากสมการ
ในการวัดระดับความเสี่ยงทางสินเชื่อ จะต้องนำเอาปัจจัยทั้ง 6 ประการนี้มาพิจารณาร่วมกัน โดยอาจจะกำหนดว่าปัจจัยกลุ่มใดหรือ C ใด จะมีความสำคัญกว่ากันก็จะให้เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มนั้นสูงกว่ากลุ่มอื่น เช่น
Character 30% capacity 25% capital 20% collateral 15% condition 10% country 0% (เพราะเป็นการค้าภายในประเทศ) รวมทั้งหมด 100% จาก % นี้ก็อาจปรับมาเป็นค่าคะแนน ถ้าคะแนนรวม 100% = 1,000 คะแนน ดังนั้นจะได้ character 300 คะแนน capacity 250 คะแนน capital 200 คะแนน collateral 150 คะแนน condition 100 คะแนน country 0 คะแนน
จากการกำหนดความสำคัญของแต่ละกลุ่มโดยแปลงออกมาในรูปของคะแนนแล้วขั้นต่อไปก็ศึกษาแต่ละกลุ่มของ C ซึ่งจะมีการรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เป็นส่วนประกอบ ก็จะพิจารณาว่าส่วนประกอบใดควรจะได้กี่คะแนน มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญของส่วนประกอบนั้นว่ามีต่อ C กลุ่มนั้นมากหรือน้อย ถ้าสำคัญก็ให้คะแนนสูงแล้วลดหลั่นคะแนนลงไปตามความสำคัญที่มีน้อยลง เช่น
ประวัติการชำระหนี้ 80
ที่อยู่และภูมิลำเนา 60
ลักษณะของงานที่ทำ 50
ฐานะการสมรส 40
ฐานะทางสังคม 70
รวมคะแนนของ character 300
เมื่อกิจการสามารถแปลงค่าข้อมูลทางสินเชื่อแต่ละข้อออกมาเป็นคะแนนเต็มได้
ดังข้างต้น ทุกๆ กลุ่ม C แล้ว จากนั้นก็จะนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากลูกค้าแต่ละคนมาให้คะแนนแต่ละข้อว่าจะได้สูงหรือต่ำก็โดยการเทียบเคียงกับคะแนนเต็มในข้อนั้นๆ ในการนี้ก็อาจมีการกำหนดคะแนนมาตรฐานในแต่ละข้อไว้ว่าถ้าตอบเช่นนั้น ได้กี่คะแนน ตอบเช่นนี้ ได้กี่คะแนน เพื่อขจัดความลำเอียงในการให้คะแนน เช่น รายได้ประจำ โดยปกติ บุคคลที่มีรายได้สูง ย่อมมีคุณค่าทางสินเชื่อดีกว่า ผู้มีรายได้ต่ำ จึงอาจกำหนดว่า รายได้ทุกๆ 1,000 บาท มีค่า 5 คะแนน ถ้าหากนาย ก. มีรายได้ 6,000 บาท ก็จะได้คะแนนรายได้ประจำ = 6 ´ 5 = 30 จากคะแนนเต็ม 50
ดังนั้น จากแต่ละข้อมูลซึ่งเป็นส่วนประกอบของ C หนึ่งๆ ที่กำหนดคะแนนเต็มไว้และมีการให้คะแนนแก่ลูกค้ารายหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ก็จะรวมคะแนนในแต่ละกลุ่ม C พร้อมทั้งคะแนนรวมทั้งหมดทุก C ของลูกค้ารายนั้น จากนี้ก็จะนำคะแนนไปพิจารณาโดยอาจต้องใช้วิจารณญาณประกอบว่า ในระดับคะแนนสูงเท่าไร จึงจะถือว่าลูกค้ามีคุณค่าทางสินเชื่อควรแก่การให้สินเชื่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายสินเชื่อในขณะนั้นว่า ต้องการจะขยายหรือลดจำนวนสินเชื่อ หากต้องการลดสินเชื่อก็พยายามเลือกลูกค้าที่มีคุณค่าทางสินเชื่อสูงหรือมีความเสี่ยงต่ำ คะแนนรวมมาตรฐานขั้นต่ำที่จะยอมรับได้ (cut-off point) ก็จะกำหนดไว้สูง แต่ถ้านโยบายต้องการขยายสินเชื่อก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเฟ้นลูกค้าที่มีคุณค่าทางสินเชื่อสูงนัก คะแนนรวมที่เป็น cut-off point ก็จะกำหนดไว้ต่ำ
ตัวอย่างเช่น
C |
ข้อมูล |
คะแนนเต็ม |
คะแนน – นายธงชัย |
Character |
ประวัติการชำระหนี้ |
80 |
50 |
|
ที่อยู่และภูมิลำเนา |
60 |
35 |
|
ลักษณะของงานที่ทำ |
50 |
35 |
|
ฐานะการสมรส |
40 |
40 |
|
ฐานะทางสังคม |
70 |
40 |
|
|
300 |
180 |
Capacity |
เงินเดือน |
50 |
30 |
|
ลักษณะงานที่ทำ |
30 |
20 |
|
สุขภาพ |
40 |
25 |
|
ความมั่นคงของสถานที่ทำงาน |
30 |
20 |
|
ความคิดสร้างสรรค์ |
30 |
20 |
|
จำนวนหนี้สิน |
30 |
10 |
|
ฐานะการสมรสและขนาดครอบครัว |
20 |
10 |
|
ระดับการครองชีพ |
30 |
15 |
|
|
250 |
150 |
Capital |
สินทรัพย์ที่ซื้อมา |
70 |
40 |
|
สินทรัพย์ประจำตัวและเงิน |
50 |
30 |
|
กรรมสิทธิในสินทรัพย์ถาวร |
80 |
60 |
|
|
200 |
130 |
C |
ข้อมูล |
คะแนนเต็ม |
คะแนน – นายธงชัย |
Collateral |
สินทรัพย์ถาวร |
90 |
70 |
|
บุคคล |
60 |
40 |
|
|
150 |
110 |
Condition |
การเมือง |
20 |
10 |
|
เศรษฐกิจ |
40 |
25 |
|
สังคม |
40 |
30 |
|
|
100 |
65 |
|
|
1,000 |
635 |
ถ้ากำหนด Cut-off point 750 คะแนน ก็จะปฏิเสธการให้สินเชื่อแก่นายธงชัย
ถ้ากำหนด Cut-off point 600 คะแนน ก็จะให้สินเชื่อแก่ นายธงชัย
การกำหนด Cut-off point นอกจากวิธีข้างต้นที่กำหนดจากยอดรวมของทุกปัจจัย อันอาจมีข้อบกพร่องขึ้นได้ ทั้งนี้เพราะยอดรวมเป็นการแสดงให้เห็นถึงยอดเฉลี่ยของปัจจัยทั้งหมด แต่มิได้ให้รายละเอียดว่า ลูกค้ามีความดีเลิศ มีข้อบกพร่อง หรืออยู่ในระดับกลางๆ ในแต่ละปัจจัยเพียงใด ดังนั้นหากต้องการทราบถึงรายละเอียดนี้ cut-off point ที่กำหนดก็อาจจะต้องกำหนดทั้งยอดรวมในแต่ละ C และยอดรวมทุก C ด้วยแล้วจึงนำคะแนนดังกล่าวของลูกค้าที่เกิดขึ้นจริง มาเปรียบเทียบ ถ้าคะแนนได้ค่ามากกว่า หรือเท่ากับ cut-off point ก็จะรับลูกค้านี้ไว้พินิจพิจารณาในขั้นสุดท้ายด้วยวิจารณญาณต่อไปว่าควรให้สินเชื่อหรือไม่ หรือจะให้สินเชื่อโดยไม่มีเงื่อนไข ตัวอย่างเช่น
ปัจจัย |
คะแนนเต็ม |
Cut-off point |
คะแนนนายธงชัย |
สูงหรือ (ต่ำ) กว่า cut-off |
Character |
300 |
225 |
180 |
-45 |
Capacity |
250 |
185 |
150 |
-35 |
Capital |
200 |
150 |
130 |
-20 |
Collateral |
150 |
115 |
110 |
-5 |
Condition |
100 |
75 |
65 |
-10 |
|
1,000 |
750 |
635 |
-115 |
ในกรณีเช่นนี้ จะเห็นว่าปัจจัยทุกตัวของนายธงชัย ต่ำกว่าที่ต้องการ และต่ำกว่าด้วยคะแนนที่มากพอควร จึงควรปฏิเสธสินเชื่อ
แต่ถ้าการเปรียบเทียบมีบาง C ต่ำ และต่ำกว่าไม่มาก โดยเฉพาะเป็น C ที่สำคัญน้อยด้วย ก็อาจให้สินเชื่อโดยมีเงื่อนไขที่จะสร้างความปลอดภัยในการชำระหนี้ให้กับกิจการมากขึ้น
สรุป ขั้นตอนของการวัดระดับความเสี่ยงโดยคะแนนข้างต้น มีลำดับขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1. กำหนดคะแนนรวมให้แต่ละปัจจัยมากน้อยไปตามความสำคัญที่จะมีต่อความสามารถและความเต็มใจในการชำระหนี้
ขั้นที่ 2. กำหนดคะแนนเต็มให้แต่ละข้อมูลในปัจจัยหนึ่งๆ ซึ่งจะมากน้อยไปตามความสำคัญที่จะมีต่อปัจจัยนั้นๆ
ขั้นที่ 3. แปลงค่าข้อมูลที่รวบรวมมาจากลูกค้ารายหนึ่งๆ ให้เป็นคะแนน โดยอาจใช้วิจารณญาณเทียบกับคะแนนเต็มของแต่ละข้อมูล หรืออาจกำหนดลักษณะคุณภาพข้อมูลเป็นระดับๆ ไว้เป็นคะแนน เช่น 5 คะแนน สำหรับทุกๆ 1,000 บาท ของรายได้
ขั้นที่ 4. กำหนด Cut-off point เป็นคะแนน สำหรับแต่ละปัจจัย
ขั้นที่ 5. เปรียบเทียบคะแนนแต่ละปัจจัยหรือคะแนนรวมทุกปัจจัยของลูกค้ากับของ cut-off point
ขั้นที่ 6. ผลการเปรียบเทียบ ถ้าได้สูงกว่า Cut-off point ก็มีโอกาสอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ถ้าต่ำกว่าบางปัจจัยและไม่มาก ก็อาจให้สินเชื่อโดยมีเงื่อนไข แต่ถ้าต่ำกว่าทุกปัจจัยและด้วยจำนวนมาก ก็จะปฏิเสธให้สินเชื่อ
2. ความมั่นคงทางการเงินและการประเมินองค์ประกอบในสินเชื่อ
ความมั่นคงทางการเงิน หมายถึง การกำหนดระดับเงินทุนโดยประมาณ ซึ่งได้จากการประมาณมูลค่าของทุนสุทธิ โดยระดับเงินทุนแบ่งออกเป็นส่วนๆ ตั้งแต่จำนวนที่ต่ำสุดจนถึงจำนวนที่สูงที่สุด
การประเมินองค์ประกอบในสินเชื่อ หมายถึง ความน่าเชื่อถือในสินเชื่อตามที่ได้ประเมินจากสมการสินเชื่อ โดยพิจารณาจากการตรวจสอบการชำระเงิน ความสามารถในการดำเนินธุรกิจ อุปนิสัยส่วนตัว ฯลฯ
ตารางแสดงการจัดระดับความเสี่ยงในสินเชื่อโดยใช้
“ความน่าเชื่อในสินเชื่อและระดับเงินทุนโดยประมาณ”
การกำหนดระดับเงินทุนโดยประมาณ |
ความน่าเชื่อถือในสินเชื่อ |
|||
ดีมาก |
ดี |
พอใช้ |
จำกัด |
|
เงินทุน > 10 ล้านบาท |
A1 |
1 |
1 ½ |
2 |
เงินทุน 7.5<…<10 ล้านบาท |
A1 |
1 |
1 ½ |
2 |
เงินทุน 5<…<7.5 ล้านบาท |
A1 |
1 |
1 ½ |
2 |
เงินทุน 3<…<5 ล้านบาท |
1 |
1 1/2 |
2 |
2 1/2 |
เงินทุน 2<…<3 ล้านบาท |
1 |
1 1/2 |
2 |
2 1/2 |
เงินทุน 1.25<…<2 ล้านบาท |
1 |
1 1/2 |
2 |
2 1/2 |
เงินทุน 0.75<…<1.25 ล้านบาท |
1 1/2 |
2 |
2 ½ |
3 |
ความหมายของระดับความเสี่ยงในสินเชื่อ
ระดับความเสี่ยงของสินเชื่อดีมาก แสดงว่าธุรกิจนั้นได้ก่อตัวมาระยะหนึ่งแล้ว ประวัติการดำเนินงานดีมาก ที่ผ่านมากิจการมักจ่ายชำระหนี้โดยได้รับส่วนลดเงินสดเสมอ ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างดีจากธุรกิจอื่นๆ
ระดับความเสี่ยงของสินเชื่อดี แสดงว่า ธุรกิจจ่ายชำระหนี้สินภายในกำหนดเวลาและมี
คุณสมบัติด้านอื่นๆ ใช้ได้
ระดับความเสี่ยงพอใช้ กิจการนั้นอาจชำระเงินช้าบ้าง แต่มีฐานะการเงินใช้ได้ แนวโน้มการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ (อนาคตจะดีขึ้น)
ระดับความเสี่ยงจำกัด กิจการมีความเสี่ยงในการจ่ายชำระหนี้สิน โดยมักจะชำระช้ากว่ากำหนด
การจำแนกประเภทของความเสี่ยงในสินเชื่อ
เพื่อให้ระบบงานทางด้านสินเชื่อมีประสิทธิภาพ กิจการจำเป็นที่จะต้องมีการจำแนกความเสี่ยงในสินเชื่อ แต่โดยส่วนใหญ่ มักจะเกิดข้อขัดแย้งระหว่างระดับชั้นของการจำแนกประเภทสินเชื่อ
การจำแนกประเภทของความเสี่ยงในสินเชื่อ สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้คือ
ประเภทที่ 1 ความเสี่ยงในสินเชื่อเป็นศูนย์ (Zero Risk) ระดับ “A” หรือ “1”
ประเภทที่ 2 ความเสี่ยงในสินเชื่อเป็นปกติ (Ordinary Trade Risk) ระดับ “B” หรือ “2”
ประเภทที่ 3 ความเสี่ยงในสินเชื่อที่มีโอกาสจะเป็นหนี้ที่ชำระล่าช้า (Potentially slow Payer) ระดับ “C” หรือ “3”
ประเภทที่ 4 ความเสี่ยงในสินเชื่อระดับสูง (Significant or High Risk) ระดับ “D” หรือ “4”
ประเภทที่ 5 ความเสี่ยงในสินเชื่อสูงมาก (Unacceptable Risk) ระดับ “E” หรือ “5”
ในทางปฏิบัติ กิจการมักจะมีการจำแนกความเสี่ยงในสินเชื่อออกเป็นระดับต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งอาจจะน้อยกว่านี้แต่ไม่เกินกว่านี้ หมายความว่า การจำแนกประเภทความเสี่ยงในสินเชื่อ จะอยู่ในช่วง 3 ประเภท (ต่ำสุด) และ 5 ประเภท (สูงสุด) ซึ่งการจำแนกประเภทความเสี่ยงในสินเชื่อออกเป็น 3 ประเภท จะกำหนดได้ดังนี้
ประเภทที่ 1 ความเสี่ยงต่ำ เป็นการรวมความเสี่ยงประเภทที่ 1 และ 2 ข้างต้น
ประเภทที่ 2 ความเสี่ยงปานกลาง เป็นการรวมความเสี่ยงประเภทที่ 3 และ 4 ข้างต้น
ประเภทที่ 3 ความเสี่ยงสูงมาก เป็นความเสี่ยงประเภทที่ 5 (ยอมรับไม่ได้) ต้องชำระเป็นเงินสดเท่านั้น
ประเภท 1 ระดับ A (Zero Risk)
ธุรกิจที่ได้รับการจัดระดับขั้นของความเสี่ยงระดับ A ได้แก่
1. หน่วยงานรัฐบาล เทศบาล
2. รัฐวิสาหกิจ
3. องค์กรสาธารณะ มูลนิธิ
4. สถาบันการศึกษาของรัฐบาล
5. โรงพยาบาล
6. หน่วยงานในการวิจัยและพัฒนา
7. บริษัทหรือหน่วยงานเอกชนที่มีความเข้มแข็งทางการเงิน (ความมั่นคงทางการเงิน) และไม่มีความเสี่ยงในการจ่ายชำระหนี้คืนหรือการชำระหนี้ล่าช้า
หมายเหตุ : ธุรกิจหรือหน่วยงานที่ถือหุ้นหรือมีส่วนร่วมในกิจการของภาครัฐบาล ก็จำเป็นต้องมีการจัดระดับชั้นของความเสี่ยง รวมทั้งมีการประเมินความเสี่ยงตามเกณฑ์มาตรฐานโดยทั่วไปด้วย
ประเภท 2 ระดับ B (Ordinary Trade Risk)
ธุรกิจที่มีการจัดระดับชั้นแบบ B นี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นธุรกิจหรือกิจการที่มีชื่อเสียงในวงการค้าเป็นอย่างดี รวมทั้งมีสถานะทางการเงินอยู่ในระดับดี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยหรือมีปัญหาในการชำระเงินล่าช้ากับเจ้าหนี้เลย
ประเภท 3 ระดับ C (Potentially Slow Payer)
มักจะเป็นธุรกิจหรือกิจการที่มีความน่าเชื่อถือทางการเงิน แต่มีประวัติในการชำระล่าช้า การจัดอันดับความเสี่ยงประเภทนี้มักจะคาดหวังว่าธุรกิจหรือกิจการที่ได้รับการขยายวงเงินสินเชื่อจากเจ้าหนี้รายหนึ่งจะสามารถปฏิบัติกับเจ้าหนี้รายอื่นๆ ได้ในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน โดยจะให้โอกาสกับธุรกิจที่จะเริ่มต้นแนวโน้มการชำระหนี้ใหม่
ประเภท 4 ระดับ D (Significant or High Risk)
ธุรกิจที่มีความไม่มั่นคงและความไม่แน่นอนทางการเงิน หรือเป็นธุรกิจที่เจ้าหนี้ระแวงหรือสงสัยเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของกิจการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มของหนี้สูญค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ส่วนใหญ่มักจะพิจารณาจากกระบวนการ
ควบคุมและติดตามหนี้ของกิจการ เนื่องจากในทางปฏิบัติธุรกิจที่มีลักษณะเช่นนี้เห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
ประเภท 5 ระดับ E (Unacceptable Risk)
เป็นธุรกิจหรือกิจการที่มีความอ่อนแอทางการเงินในระดับสูง จึงจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีการชำระเงินล่วงหน้า หรือชำระค่าสินค้าเป็นเงินสดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่าในปัจจุบันมีระบบการประเมินความเสี่ยงและคุณค่าในสินเชื่อในรูปแบบของระบบเครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring System) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ค่อนข้างมากสำหรับสถาบันการเงิน จึงขอกล่าวถึงการศึกษาระบบเครดิตสกอริ่งมาให้พอเข้าใจ
ระบบเครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring Systme)
เป็นระบบงานที่มีการให้คะแนนกับลูกค้าแต่ละรายที่มาขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และมีการประเมินผลเพื่อจัดอันดับหรือเกรดของลูกค้า สินเชื่อจากลูกค้าคุณภาพดีหรือผู้ที่มีคะแนนดีที่สุดมาสู่ลูกค้าที่มีฐานะแย่หรือมีคะแนนต่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้งานการพิจารณาให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อยของสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์เป็นไปด้วยความราบรื่นขึ้นเพราะระบบนี้จะสร้างฐานข้อมูลของลูกค้าไว้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน ซึ่งจะทำให้การพิจารณาประเมินความเสี่ยงของลูกค้าและการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าของธนาคารเป็นไปในแนวทางเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ทางการตลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าจะสามารถสั่งคำนวณออกมาจากระบบนี้ได้ ซึ่งจะทำให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเจาะลูกค้าได้ตรงและชัดเจนมากขึ้น อันเป็นการช่วยลดภาระงานด้านสินเชื่อบุคคลและเปิดโอกาสให้สาขาของธนาคารพาณิชย์หันไปทำหน้าที่ทางด้านการตลาดได้อย่างเต็มที่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างวินัยให้กับลูกค้าในอีกทางหนึ่งด้วย
แนวคิดเกี่ยวกับการนำระบบเครดิตสกอริ่งมาช่วยในการอนุมัติสินเชื่อ
แนวคิดในการสนับสนุนการนำระบบเครดิตสกอริ่งมาใช้ในงานการพิจารณาสินเชื่อนั้น เกิดจากความเชื่อที่ว่า การบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพาณิชย์ในภูมิภาคเอเชียในอดีตไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ที่เกิดขึ้นโดยปราศจากการควบคุมที่ดีพอ จึงสามารถนำภัยมาสู่ธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมหันต์ได้ สภาวะเศรษฐกิจใน
ภูมิภาคที่เริ่มผงกหัวขึ้นและเชื่อมโยงไปสู่การฟื้นตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ หากสถาบันการเงินได้ซึมซับบทเรียนจากอดีตประกอบกับการได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของภาครัฐที่ให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็น่าจะมีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่เป็นทั้ง Monitor และนักพยากรณ์ที่แม่นยำในการทำนายพฤติกรรมและความเสี่ยงในอนาคตจากการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าแต่ละรายที่ยื่นคำขอได้ ซึ่งระบบเครดิตสกอริ่งเป็นเทคนิคที่มีคุณสมบัติดังกล่าวและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศตะวันตก หากแต่ค่อนข้างใช้ในวงจำกัดเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในแถบเอเชีย อย่างไรก็ตามในอนาคตอันใกล้นี้ คาดว่าระบบนี้จะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย (Retail Banking) เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้สภาวะแวดล้อมใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่จะขีดวงจำกัดใช้เฉพาะแวดวงธนาคารพาณิชย์ไทยและในภูมิภาคเท่านั้น หากยังรวมถึงสถาบันการเงินประเภทอื่น เช่น บริษัทเงินทุนบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทประกันชีวิตด้วย
การประเมินคุณภาพของลูกค้าสินเชื่อ
โดยปกติการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน จะไม่มีการจัดอันดับบุคคลเป็นลำดับขั้นแต่จะมีข้อมูลที่ระบุให้ทราบถึงแบบแผนพฤติกรรมการขอสินเชื่อและจ่ายคืนสินเชื่อของลูกค้าที่ผ่านมาในอดีตเป็นหลัก ซึ่งทำให้การตัดสินใจในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าแต่ละรายส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคล (Value Judgement) ของเจ้าหน้าที่สินเชื่อด้วย ประเด็นนี้จึงค่อนข้างจะมีความสำคัญกับตลาดสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะไม่สามารถวัดความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ การประเมินฐานะคุณภาพของลูกค้าสินเชื่อด้วยระบบเครดิตสกอริ่งนั้นจะทำให้การตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อขึ้นอยู่กับแนวทางการพยากรณ์ฐานะและแนวทางการบริหารสินเชื่อที่เป็นการจัดคะแนนและเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยของลูกค้าสินเชื่อที่แท้จริง คะแนนรวม (Score) ที่ได้จากโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะแสดงถึงการวัดค่าความเสี่ยงที่ต่อเนื่องไปในอนาคตและสามารถนำไปจัดเรียงกับคะแนนของลูกค้าที่มาขอสินเชื่อรายอื่นๆ จากคะแนนรวมสูงสุดมาสู่คะแนนรวมต่ำสุด คะแนนรวมที่สูงกว่าจะแสดงถึงความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ส่วนคะแนนรวมที่ต่ำกว่าจะแสดงถึงระดับความเสี่ยงที่สูงกว่า หลังจากนั้นผู้ที่ทำการประเมินผลก็จะนำเอาคะแนนรวมที่ได้จากการคำนวณตามข้อมูลใน Application (แบบฟอร์มใบคำขอสินเชื่อที่มีลักษณะเฉพาะเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ในการประเมิน มีการกำหนดคะแนนของการตอบแบบใบคำขอในแต่ละประเด็นซึ่งอาจจะให้คะแนนเท่ากันหรือแตกต่างกันก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการให้น้ำหนักหรือความสำคัญของประเด็นนั้นๆ ต่อการวัดระดับความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ) ไปเปรียบเทียบกับคะแนนมาตรฐาน (Cut-off score) ที่กำหนดไว้เพื่อตัดสินใจในเบื้องต้นว่าคุณภาพของลูกค้าสินเชื่อรายนั้นผ่านระดับที่ยอมรับได้หรือไม่ หากคะแนนรวมจากการคำนวณต่ำกว่าคะแนนมาตรฐาน ธนาคารก็สามารถปฏิเสธการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายนั้นได้
ประโยชน์ของระบบเครดิตสกอริ่ง
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำเทคนิค Credit Scoring System มาใช้ คาดว่าจะประกอบด้วย
1. ช่วยลดขั้นตอนการอำนวยสินเชื่อและการอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปจากขั้นตอนการประเมินลูกค้าเบื้องต้นจากแบบฟอร์มใบคำขอสินเชื่อ อันถือเป็นการช่วยลดระยะเวลาในการทำงาน เพราะแบบฟอร์มใบคำขอสินเชื่อของลูกค้ารายใดที่มีคะแนนรวมสูงสุดหรือเท่ากับความเสี่ยงต่ำสุด ถือได้ว่าเป็นลูกค้าคุณภาพดีเยี่ยมที่เข้าข่ายตามเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์ที่สถาบันการเงินนั้นได้กำหนดไว้ก่อนการประเมินผล ในกรณีนี้อาจจะทำการอนุมัติสินเชื่อโดยอัตโนมัติ ส่วนลูกค้าสินเชื่อที่มีคะแนนรวมรองลงมาจะต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์สินเชื่อและการอำนวยสินเชื่อก่อนที่จะนำเสนอสู่การตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธลูกค้าสินเชื่อรายนั้นๆ ต่อไป
2. ช่วยลดความสูญเสียจากภาระหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้น ระบบเครดิตสกอริ่งจะช่วยในการประเมินผลเพื่อจัดอันดับคุณภาพของลูกค้าสินเชื่อ ทำให้สถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ให้สินเชื่อทราบถึงสถานการณ์ทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อว่ามีระดับความเสี่ยงอย่างไร ส่งผลให้สถาบันผู้ให้สินเชื่อจะสามารถเห็นภาพการกู้ยืมของผู้ขอสินเชื่อได้ทั้งหมด และสามารถประเมินความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อแต่ละรายได้ ขณะเดียวกันก็มีส่วนช่วยลดความลำเอียงในทางที่ให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษแก่ลูกค้าสินเชื่อหรือประเมินความเสี่ยงของลูกค้าในทางที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของเจ้าหน้าที่สินเชื่อด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่สินเชื่อสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value-Added) แก่องค์กรได้สูงสุด ระบบเครดิตสกอริ่งจึงช่วยป้องกันความสูญเสียจากภาระหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3. เสริมการประมวลผลข้อมูลด้าน Consumer Credit แก่เครดิตบูโร (Credit Bureau) หรือบริษัทศูนย์ข้อมูลเครดิตแห่งประเทศไทย เพราะเครดิตบูโรไม่ได้มีหน้าที่อนุมัติ (Approved) หรือปฏิเสธการให้เครดิตแก่ลูกค้า (Rejected) แต่มีหน้าที่เพียงรายงานข้อมูลที่ได้จากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเท่านั้น การเสริมข้อมูลแก่เครดิตบูโรจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น และในระยะยาวจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมให้ลูกค้าชำระหนี้ได้ตามกำหนดเวลา เพราะลูกค้าที่มีประวัติการเงินไม่ดีจะไม่สามารถขอกู้เงินจากสถาบันการเงินอื่นได้ ขณะที่ลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ที่ดีก็จะได้รับการตอบแทนทั้งในแง่ของการพิจารณาสินเชื่อที่สะดวกรวดเร็วขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทำให้สถาบันการเงินมีฐานข้อมูลของลูกค้าที่ดีและกว้างขึ้นด้วย
4. สามารถนำไปช่วยงานการวางแผนดำเนินการเพื่อกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ และเป็นเครื่องมือที่ช่วยชี้คุณภาพของหนี้ที่มีในกลุ่มว่าน่าจะมีหนี้ดีกี่เปอร์เซ็นต์ และหนี้จัดชั้นกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำได้โดยการนำคะแนนรวมที่ได้จากการประเมินลูกค้าสินเชื่อทุกรายมาวิเคราะห์โดยการแยกกลุ่มลูกค้าหรือหาสัดส่วนของลูกค้าที่ธนาคารยอมให้สินเชื่อกับปฏิเสธการให้สินเชื่อ ระบบนี้จึงช่วยปรับปรุงระบบการควบคุมการบริหารงานตรวจสอบและติดตาม (Monitoring) ให้กับผู้บริหารงานสินเชื่อไปในตัวด้วย
ข้อจำกัดของระบบเครดิตสกอริ่ง
ถึงแม้ระบบเครดิตสกอริ่ง จะมีส่วนช่วยลดงานการบริหารลูกค้าสินเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามคะแนนที่ได้จากการคำนวณจะเป็นคะแนนรวมที่สามารถนำมาใช้ประเมินฐานะของลูกค้าสินเชื่อได้อย่างมีนัยสำคัญก็ต่อเมื่อสถาบันการเงินแห่งนั้นข้อมูลในอดีตที่สมบูรณ์ครบถ้วนและมีจำนวนที่มากพอ เพราะสถิติที่นำมาคำนวณนั้นจะเป็นเครื่องสะท้อนภาพในอนาคตที่มีสมมติฐานว่าเป็นไปในแนวโน้มที่ย้อนรอยจากอดีต ด้วยเหตุนี้การนำเทคนิคเครดิตสกอริ่ง มาใช้ในงานการอนุมัติสินเชื่อ สถาบันผู้ให้สินเชื่อที่ใช้ระบบเครดิตสกอริ่งจะต้องออกแบบฟอร์มการยื่นขอสินเชื่อให้มีสาระครอบคลุมเพื่อที่จะสามารถประเมินระดับความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อได้และไม่ทำให้การรายงานผลการคำนวณที่เป็นคะแนน เกิดความคลาดเคลื่อนขึ้น อันนำไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจยอมรับหรือปฏิเสธลูกค้าสินเชื่อรายนั้นๆ ที่โปร่งใสโดยผู้บริหารต่อไป นอกจากนี้ยังมีข้อพึงระวังในกรณีที่เป็นสินเชื่อรูปแบบใหม่ของสถาบันการเงิน ซึ่งพบว่าไม่มีตัวเลขสถิติในอดีตที่จะสามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานตลอดจนใช้ในการเปรียบเทียบกับคะแนนที่เกิดขึ้นจากการคำนวณได้ การนำระบบเคริตสกอริ่งมาใช้ในงานการอนุมัติสินเชื่อจึงไม่สามารถประเมินผลและสรุปทางเลือกเพื่อการตัดสินใจได้ และที่สำคัญถึงแม้ว่าเทคนิคของระบบเครดิตสกอริ่งจะสามารถประเมินค่าความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อได้ค่อนข้างใกล้เคียงกับค่าที่ควรจะเป็นและมีการเรียงลำดับสินเชื่อรายที่มีความเสี่ยงน้อยไปหามาก แต่ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายนั้นๆ ยังเป็นประเด็นที่ยังมีความจำเป็นและต้องนำมาประกอบการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อด้วย ตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเป็นสาเหตุให้ลูกหนี้สินเชื่อกลายเป็นลูกหนี้ที่มีปัญหา นโยบายการให้สินเชื่อขององค์กร เช่น เงื่อนไขพิเศษในการพิจารณาสินเชื่อของพนักงานภายในองค์กรเดียวกันซึ่งอาจถือเป็นสวัสดิการที่ให้กับพนักงาน บทบาทการช่วยเหลือสังคมและสถาบันการเงิน เป็นต้น
ถึงแม้ระบบเครดิตสกอริ่งจะช่วยในการคำนวณหาระดับความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างรวดเร็วและมีมาตรฐาน เนื่องจากได้นำปัจจัยเกี่ยวเนื่องทุกอย่างซึ่งรวมทั้งอุปนิสัยและความสม่ำเสมอในการชำระเงินงวดสินเชื่อของลูกค้ามาร่วมคำนวณด้วย ทำให้สถาบันผู้ให้สินเชื่อสามารถประเมินความเสี่ยงของลูกค้าได้ ขณะเดียวกัน ฐานข้อมูลยังเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ทางการตลาด ทำให้ธนาคารสามารถหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายและจัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นการลดขั้นตอนการดำเนินงานและลดภาระต้นทุนการดำเนินงานสินเชื่อของสาขาได้โดยตรง อย่างไรก็ตามการนำเทคนิคนี้มาใช้ในงานบริหารสินเชื่อของสถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ คงมิได้หมายความว่าธนาคารจะไม่มีความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจอีกต่อไป หรือปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ตลอดจนความเสี่ยงในการอนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคลรายนั้นๆ จะหมดไปโดยสิ้นเชิง หากแต่ระบบเครดิตสกอริ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งในบรรดาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงเท่านั้น ระบบเครดิตสกอริ่ง จะมีประสิทธิภาพในการช่วยการตัดสินใจของผู้บริหารและลดความเสี่ยงให้กับองค์กรได้มากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับระดับความสามารถในการวิเคราะห์ของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง การพัฒนางานด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กระบวนการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ นโยบายการให้สินเชื่อขององค์กร ตลอดจนการกำหนดแผนปฏิบัติงานและโครงสร้างการบริหารขององค์กรเป็นสำคัญด้วย
ในทางปฏิบัติ การจัดอันดับเครดิตและการประเมินค่าความเสี่ยงในสินเชื่อกำลังมีความสำคัญกับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งเริ่มให้ความสนใจกับการบริหารความเสี่ยงในสินเชื่อ เช่น ธนาคารพาณิชย์ไทย เป็นต้น จึงควรมาทำความเข้าใจกับการจัดอันดับเครดิตองค์กรและการบริหารความเสี่ยงในสินเชื่อของสถาบันการเงิน
อันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้และการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินทั้งหมดขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง โดยไม่เจาะจงประเภทของตราสารขององค์กรนั้น ตัวอย่างเช่น อันดับเครดิตของบริษัท ก จำกัด แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้โดยทั่วไปของบริษัท ก จำกัด รวมทั้งแสดงถึงระดับความสามารถในการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินที่มีต่อเจ้าหนี้ของบริษัท ก จำกัด โดยไม่เจาะจงอายุและประเภทของตราสารที่บริษัท ก จำกัด ได้ออกไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อันดับเครดิตของบริษัท ก จำกัด จะบอกถึงศักยภาพทางการเงินโดยทั่วไปของบริษัท ก จำกัด
การจัดอันดับเครดิตขององค์กร ได้แก่ การให้อันดับเครดิตแก่องค์กรโดยพิจารณาจากความสามารถและความเต็มใจในการชำระหนี้ในเรื่องเงินต้นและดอกเบี้ยได้เต็มตามจำนวนและตรงตามกำหนดเวลา รวมถึงความสามารถในการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินต่างๆ ที่องค์กรได้ให้ไว้ อันดับเครดิตองค์กรจะสะท้อนความน่าเชื่อถือโดยรวมขององค์กรโดยไม่ระบุประเภทหรือเงื่อนไขของตราสารหรือภาระผูกพันใดๆ ที่องค์กรได้ให้ไว้เป็นการเฉพาะ โดยมีการจัดอันดับเครดิตให้แก่ผู้ประกอบการในทุกประเภทอุตสาหกรรม ทั้งที่จดทะเบียนและมิได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และทั้งที่เป็นผู้ประกอบการภาคเอกชนและภาครัฐ
ผู้ได้รับประโยชน์จากการจัดอันดับเครดิต
1. นักลงทุน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในตราสารที่เหมาะสมกับระดับของความเสี่ยงที่นักลงทุนสามารถรับได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการแสวงหาข้อมูลข่าวสารที่มากจนเกินไป
2. ผู้ออกตราสาร เพื่อให้เข้าถึงแหล่งระดมทุนได้ง่ายขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนการระดมทุน เพราะอันดับเครดิตจะสะท้อนฐานะของผู้ออกตราสาร ทั้งนี้ นักลงทุนจะพิจารณาผลอันดับเครดิตของตราสารเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินใจลงทุน
3. เจ้าหนี้และสถาบันการเงิน เพื่อประกอบการพิจารณาความเสี่ยงในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอย่างเหมาะสม เนื่องจากการจัดอันดับเครดิตองค์กร (Company Rating) จะสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงการปฏิบัติตามข้อผูกพันทางการเงินโดยรวมของผู้ประกอบการนั้นๆอีกด้วย
4. หน่วยงานกำกับดูแล เพื่อประกอบการกำหนดนโยบายกำกับดูแลตลาดทุนของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ใช้อันดับเครดิตเป็นส่วนหนึ่งในการกำกับดูแลนโยบายการลงทุนของนักลงทุนประเภทสถาบัน ได้แก่ กองทุนรวม และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในขณะที่กระทรวงการคลังซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ก็ได้กำหนดระดับการลงทุนในตราสารตามระดับของอันดับเครดิตของตราสารนั้นๆ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นการจัดอันดับเครดิตองค์กรจะมีประโยชน์แก่นักลงทุนที่ต้องการพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนในบริษัทหนึ่งๆ เป็นการทั่วไป ผู้ที่ใช้อันดับเครดิตองค์กรมักได้แก่ สถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้ต่างๆ เพื่อประกอบการพิจารณาปล่อยเงินกู้แก่บริษัท หรือในกรณีที่บริษัทใดๆ ต้องการใช้สินเชื่อของตนในการค้ำประกันการกู้ยืมเงินก็อาจอ้างถึงอันดับเครดิตองค์กรเพื่อประกอบการพิจารณาแก่เจ้าหนี้ก็ได้ นอกจากนี้ คณะกรรมการเบเซิล (Basel Committee) ยังเสนอให้ปรับปรุงระเบียบการดำรงเงินทุนสำรองขั้นต่ำของสถาบันการเงินโดยพิจารณาจาก อันดับเครดิตองค์กรของลูกหนี้สถาบันการเงินเป็นเกณฑ์ในการกำหนดความเสี่ยงของสถาบันการเงินแต่ละแห่งอีกด้วย
นักลงทุนที่ประสงค์จะใช้อันดับเครดิตควรจะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย เงื่อนไข และข้อจำกัดของอันดับเครดิตแต่ละประเภทอย่างดีเพื่อป้องกันความสับสนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งสถาบันจัดอันดับเครดิตมักจะให้คำแนะนำรวมทั้งชี้แจงหลักเกณฑ์ในการให้อันดับเครดิตแต่ละประเภทแก่ผู้สนใจเพื่อให้อันดับเครดิตเป็นประโยชน์สูงสุดแก่นักลงทุนและ
ประชาชนทั่วไป
สัญลักษณ์และความหมายอันดับเครดิต
AAA มีความเสี่ยงในระดับต่ำที่สุด มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์สูงสุด ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและเศรษฐกิจน้อยที่สุด
AA มีความเสี่ยงในระดับต่ำมาก มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์สูงมาก แต่อาจได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและเศรษฐกิจมากกว่าอันดับเครดิตที่สูงกว่า
A มีความเสี่ยงในระดับต่ำ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์สูง แต่อาจได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและเศรษฐกิจมากกว่าอันดับเครดิตที่สูงกว่า
BBB มีความเสี่ยงและมีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์
ปานกลาง ความผันผวนที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและเศรษฐกิจอาจมีผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงเมื่อเทียบกับอันดับเครดิตที่สูงกว่า
BB มีความเสี่ยงในระดับสูง มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์ต่ำกว่าระดับปานกลาง และจะได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจและเศรษฐกิจค่อนข้างชัดเจน มีปัจจัยที่คุ้มครองเจ้าหนี้ต่ำกว่าอันดับเครดิตที่สูงกว่า
B มีความเสี่ยงในระดับสูงมาก มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นในเกณฑ์ต่ำ และอาจจะหมดความสามารถในการชำระหนี้ได้ตามความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางธุรกิจและเศรษฐกิจ
C มีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่า เพราะความสามารถในการชำระหนี้ต้องอาศัยเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยทางธุรกิจ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ความเปลี่ยนแปลงของเงื่อนไขต่างๆ จะส่งผลกระทบอย่างมาก
D เป็นระดับที่อยู่ในสภาวะผิดนัดชำระหนี้ โดยผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ตามกำหนด
หมายเหตุ : อันดับเครดิตตั้งแต่ระดับ AA ถึง C อาจมีเครื่องหมาย บวก (+) หรือ ลบ (-) ต่อท้ายเพื่อจำแนกความแตกต่างของคุณภาพของอันดับเครดิตภายในระดับเดียวกัน
อาจกล่าวได้ว่าความเสี่ยงด้านสินเชื่อ (Credit Risk) หมายถึงความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าไม่สามารถชำระหนี้คืนได้ตามเงื่อนไขและข้อตกลงในสัญญา ซึ่งอาจเป็นเพราะลูกหนี้ประสบปัญหาทางการเงิน (Unable to pay) หรือบิดพลิ้วสัญญา (Unwilling to pay)
1. ปัจจัยเสี่ยงภายนอก (External Risk Factors)
- สภาวะทางเศรษฐกิจ (Economic Condition)
- มาตรฐานสินเชื่อ (Credit Standards)
2. ปัจจัยเสี่ยงภายใน (Internal Risk Factors)
- มาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อ (Underwriting Standards)
- การกระจุกตัวของสินเชื่อ (Concentrations)
- ประสบการณ์ของพนักงานสินเชื่อ (Experience of Staff)
- ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information Systems)
1) สร้างสภาพแวดล้อมการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ
2) มีกระบวนการให้สินเชื่อที่ดี
3) มีกระบวนการบริหารสินเชื่อ การวัด และการติดตามความเสี่ยงที่เหมาะสม
4) ระบบการควบคุมที่เหมาะสมเพียงพอ
1. สร้างสภาพแวดล้อมการบริหารความเสี่ยงด้านสินเชื่อ (Establishing an appropriate credit risk environment) คณะกรรมการบริหารจะเป็นผู้อนุมัติกลยุทธ์และนโยบายที่สำคัญด้านความเสี่ยงในสินเชื่อ ตลอดจนรวมถึงการสอบทาน และจะต้องนำกลยุทธ์ไปใช้และพัฒนานโยบายและวิธีปฏิบัติ สำหรับสภาพแวดล้อมขององค์กร (Credit Culture) ที่สร้างปัญหา
ได้แก่
1.1 การให้สินเชื่อตามที่ได้รับคำสั่งหรือการชี้นำทางการเมือง
1.2 การดำเนินการเพื่อประโยชน์ของตนเอง (Self – dealing)
1.3 การมุ่งคำนึงถึงรายได้เป็นสำคัญ
1.4 การประนีประนอมในหลักการสินเชื่อ
1.5 การยอมรับข้อมูลสินเชื่อที่ไม่เพียงพอ
1.6 การขาดการควบคุมที่ดี
1.7 การขาดความสามารถทางเทคนิค
1.8 การเลือกประเด็นความเสี่ยงผิดพลาด
1.9 การให้กู้ยืมมากเกินไป
1.10 การแข่งขัน
จุดอ่อนที่สร้างปัญหาด้านสินเชื่อ
1. ไม่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเพียงพอ
2. ไม่ให้ความสำคัญกับการกระจุกตัวของสินเชื่ออย่างพอเพียง
3. ขาดนโยบายสินเชื่อที่ชัดเจนและถือปฏิบัติอย่างจริงจัง
4. ขาดระบบข้อมูลด้านสินเชื่อที่พอเพียง
อุปสรรคในการบริหารความเสี่ยงสินเชื่อ
1. วัฒนธรรมสินเชื่อ
2. ความเคยชินกับวิธีการทำงานแบบเดิม
3. ความล่าช้า
4. การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่
5. ฐานข้อมูล
2. กระบวนการให้สินเชื่อที่ดี (Operating under a sound credit granting process)
2.1 ดำเนินการภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่อที่ดีและปลอดภัย
2.2 มีการกำหนดวงเงินจำกัดสินเชื่อ credit limit โดยรวมของรายลูกค้าและ
รายกลุ่ม
2.3 มีการกำหนดกระบวนการอนุมัติสินเชื่อที่ชัดเจนทั้งรายใหม่และเพิ่มวงเงินรายเก่า
2.4 การขยายสินเชื่อมีการพิจารณาถึงความสามารถในการรับภาระความเสี่ยงในสินเชื่อ (arm’s length) ได้
3. กระบวนการบริหารสินเชื่อ การวัด และการติดตามความเสี่ยงที่เหมาะสม (Maintaining an appropriate credit administration,measurement and monitoring process)
3.1 ระบบการบริหารความเสี่ยงในสินเชื่อ อย่างต่อเนื่อง
3.2 ระบบการติดตามฐานะลูกหนี้แต่ละรายและการกันสำรองที่เพียงพอ
3.3 การพัฒนาและการใช้อันดับความเสี่ยงภายในองค์กร (Internal risk rating) ในการบริหาร
3.4 มีระบบข้อมูลที่ทันสมัย MIS และเทคนิคการวิเคราะห์ที่ดี
3.5 มีระบบติดตามองค์ประกอบโดยรวมและคุณภาพสินเชื่อของกลุ่มลูกค้า
3.6 มีการพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจในอนาคต
4. ระบบการควบคุมที่เหมาะสมเพียงพอ (Ensuring adequate controls over credit risk)
4.1 มีระบบการสอบทานสินเชื่ออย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระ
4.2 การให้สินเชื่อมีการบริหารอย่างเหมาะสม
4.3 มีระบบบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ